การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ
การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ
การใส่สายสวนปัสสาวะคือ อะไร?
การใส่สายสวนปัสสาวะคือ การใส่สายสวนปราศจากเชื้อ เข้าไปคาในกระเพาะปัสสาวะ ผ่านทางท่อปัสสาวะ เพื่อใช้ระบายปัสสาวะ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถระบายปัสสาวะออกได้เอง
ภาพแสดง สายสวนปัสสาวะชนิดสวนคา |
ภาพแสดงตำแหน่งการคาสายสวนปัสสาวะ
ในกระเพาะปัสสาวะ(เพศชาย)
การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ ทำอย่างไร?
หัวใจสำคัญในการดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะมีด้วยกัน 2 ประการ คือ
1. ทำให้ปัสสาวะไหลสะดวก
2. การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การทำให้ปัสสาวะไหลสะดวก
การดูแลให้ผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ มีปัสสาวะไหลสะดวกมีด้วยกันดังนี้
- ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำสะอาดจำนวนมากๆ 2-3 ลิตร/วัน (ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้มีโรคที่แพทย์สั่งจำกัดน้ำ) เพื่อช่วยชะล้างสิ่งอุดตันภายในท่อทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไหลคล่อง ลดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
- การดูแลสายสวนปัสสาวะไม่ให้ หัก พับ งอ เพื่อป้องกันปัสสาวะคั่งค้างภายในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความไม่สุขสบายในผู้ป่วย และปัสสาวะที่คั่งค้างเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค เป็นสาเหตุในเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
- การบีบรีดสายสวนปัสสาวะ ช่วยป้องกันการจับตัวกันของตะกอน ป้องกันการอุดตันของท่อทางเดินปัสสาวะ
อุปกรณ์
1. ถุงมือสะอาด 1 คู่
2. สำลีชุบ Alcohol 1 ก้อน
วิธีการบีบรีดสายสวนปัสสาวะ
1. ล้างมือให้สะอาด สวดถุงมือสะอาด
2. ใช้มือข้างที่ไม่ถนัด จับสายสวนปัสสาวะด้านที่ติดกับตัวผู้ป่วยไม่ให้สายหลุดเลื่อน
3. ใช้มือข้างที่ถนัดจับสายด้านที่ต่ำกว่ามือที่ไม่ถนัดพร้อมด้วยสำลีชุบ Alcohol บีบรูดสายลงมา 2-3 ครั้ง พร้อมสังเกตุการไหลของปัสสาวะ หรือตะกอนในสาย
การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
1.ถุงรอบรับน้ำปัสสาวะควรอยู่ในบริเวณตำแหน่งที่ตำกว่ากระเพาะปัสสาวะ เพื่อไม่ให้น้ำปัสสาวะไหลย้อนกลับเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อ และให้น้ำปัสสาวะไหลลงมายังถุงรองรับโดยง่าย
2. ดูแลสายสวนปัสสาวะให้อยู่ในระบบปิด เฝ้าระวังไม่ให้สายหลุด รั่ว
3. ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทุกครั้งควรมีการพับสาย เพราะการเคลื่อนย้ายอาจเกิดการไหลย้อนกลับของน้ำปัสสาวะ และหลังเสร็จจากการเคลื่อนย้ายทุกครั้ง จะต้องตรวจสอบให้สายปัสสาวะทำงานได้ปกติ
4.การเทปัสสาวะออกจากถุงทุกครั้งควรมีการเช็ดทำความสะอาดบริเวณท่อสำหรับเทปัสสาวะทุกครั้ง ทั้งก่อนเท และหลังเทปัสสาวะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
5. ล้างทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อย่างน้อยวันละ2ครั้ง เช้า-เย็น หรือมากกว่านั้นก็ได้ ควรเช็ดผิวหนังบริเวณนั้นให้แห้ง เพื่อลดการติดเชื้อและโรคผิวหนังอื่นๆที่จะตามมา
6. สังเกตุ สี กลิ่น ตะกอน และปริมาณของปัสสาวะ หากผิดปกติให้นำผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการผิดปกติเหล่านั้น
ท่อสำหรับถ่ายปัสสาวะออกจากถุง
การแขวนถุงปัสสาวะในตำแหน่งที่ถูกต้อง
![]() |
การวางถุงปัสสาวะไม่ถูกต้อง |
* ควรเปลี่ยสายสวนปัสสาวะเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
* หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น ปวดท้อง ให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์
* ในกรณีที่ท่านไม่ได้อยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลา อาจจะต้องใส่อุปกรณ์ในการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยดึงสายสวนปัสสาวะออกเอง ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บในช่องทางเดินปัสสาวะได้
![]() |
อุปกรณ์ป้องกันผู้ป่วยดึงสายสวนปัสสาวะ |
มีฟองอากศในสายเกิดจากอะไรครับ
ตอบลบ